ทฤษฎีการสมรู้ร่วมคิดของโลก เมื่อปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้น จะกลายเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับหลายๆ คน อาจมีคำอธิบายกระแสหลักที่คนส่วนใหญ่เชื่อถือ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มักจะมีกลุ่มต่างๆ ที่มาพร้อมกับชุดคำอธิบายที่ขัดแย้งกับกระแสหลักอยู่เสมอ สิ่งนี้สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นคำอธิบายรองที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับความเชื่อถือ และนี่คือทฤษฎีที่เรียกว่า “ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด”
“ทฤษฎีสมคบคิด” เป็นแนวคิดที่มีมายาวนาน วลีนี้ใช้กันทั่วไปครั้งแรกในปี พ.ศ. 2452 และต่อมาได้กลายเป็นวลีที่นิยมในหมู่นักวิชาการและนักคิด และปัจจุบันมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในสื่อสิ่งพิมพ์และอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 20 และ 21 มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกิดขึ้น
เมื่อพูดถึงทฤษฎีสมคบคิด นั่นหมายถึงการคิด (ด้วยตัวเอง) และการได้ข้อสรุป แต่อย่างน้อยก็ขึ้นอยู่กับหลักฐานและข้อมูล (อย่างไรก็ตามข้อมูลที่สนับสนุนอาจเป็นได้ทั้งจริงและเท็จ) แม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงก็อาจมีข้อเท็จจริงปนอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีนี้มักถูกตีพิมพ์ในรูปแบบของบทความและเรื่องราว ไม่ว่าจุดประสงค์คือการล้างสมอง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ลบความไว้วางใจ หรือเพื่อความมั่นคง อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีสมคบคิดไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่สรุปได้ เพราะสิ่งที่อธิบายโดยทฤษฎีนี้อาจไม่เป็นความจริงเลย หรือเพียงบางส่วนเท่านั้น
หลายปีก่อน มีการพูดคุยกันมากมายจากมุมมองทางทฤษฎีนี้ หนังสือพิมพ์ The Independent ของอังกฤษยังแสดงรายการทฤษฎีสมคบคิด 10 อันดับแรกด้วย บางสิ่งบางอย่าง ทุกวันนี้ บางคนก็ให้คำอธิบายและคำอธิบายเพิ่มเติม
เรื่องราวการลงจอดบนดวงจันทร์ของ Apollo 11 นี่เป็นหนึ่งในข้อโต้แย้งที่คลาสสิกและยั่งยืนที่สุด ทฤษฎีสมคบคิดอ้างว่าการเหยียบดวงจันทร์ในปี 1969 และการเหยียบดวงจันทร์ของนีล อาร์มสตรองนั้นไม่เป็นความจริง (นี่ทำให้ทีมงาน “ภารกิจ” โกรธมาก)
ทฤษฎีสมคบคิดอธิบายว่าเป็นช่วงสงครามเย็น สหรัฐอเมริกากังวลว่าสหภาพโซเวียตจะก้าวหน้าในการสำรวจอวกาศได้ไกลแค่ไหน เขาจึงแต่งเรื่องราวของภารกิจดังกล่าวขึ้นมา มีการจัดฉากวิดีโอและภาพถ่าย รวมทั้งธงชาติอเมริกันซึ่งสังเกตกันว่าปักไว้บนดวงจันทร์และดูเหมือนปลิวไปตามลม ประกอบด้วยภาพเงาของนักบินอวกาศที่ชี้ไปในทิศทางต่างๆ แม้ว่าจะไม่มีลมบนดวงจันทร์ก็ตาม ถึงตอนนี้ NASA ก็ได้ออกมาชี้แจงประเด็นนี้แล้ว แต่ก็ยังมีคนไม่เชื่อว่าทีมอเมริกันเดินบนดวงจันทร์
ทฤษฎีการสมรู้ร่วมคิดของโลก ตึกเพนตากอนไม่ได้ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายโจมตี
ทฤษฎีการสมรู้ร่วมคิดของโลก เพนตากอนไม่ถูกโจมตีโดยผู้ก่อการร้ายในวันที่ 9/11 ทฤษฎีสมคบคิดกล่าวว่าในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ไม่มีเครื่องบินลำใดชนเพนตากอน และอาคารก็ระเบิดเพราะ…เสียงไซเรนระเบิดที่ยิงจากภายในอาคารโดยทหารอเมริกัน นอกจากนี้ พวกเขาอ้างหลักฐานว่า: ไม่พบเศษซากเครื่องบินโบอิ้ง 747 ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ ในพื้นที่ดังกล่าว แม้จะมีรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับการระเบิด แต่ในที่สุดรัฐบาลก็สามารถซ่อมแซมอาคารได้ นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นจุดที่น่าสงสัยอื่นๆ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าหน้าต่างหลายบานยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หรือหากเครื่องบินชนเข้ากับอาคาร อาจมีความเสียหายมากยิ่งขึ้น
ทฤษฎีสมคบคิดสันนิษฐานว่าไม่ใช่นักกวีและนักเขียนชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงทุกคนที่สร้างผลงานของตนเอง ปัญหานี้ได้รับการถกเถียงกันมานานแล้ว ไม่มีบันทึกใดที่เขาได้รับค่าตอบแทนหรือการอุปถัมภ์จากใครเลย ผลงานของเชกสเปียร์จึงเขียนโดยฟรานซิส เบคอน, คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์, เลียม สแตนลีย์ และคนอื่นๆ อีกหลายคน อาจถูกเขียนขึ้นก็ได้
ข้อสันนิษฐานที่รุนแรงที่สุดคือเช็คสเปียร์เชื่อว่าเขาเป็นบุคคลเดียวกับชีคอัล-ซูเบียร์ กวีและนักเขียนบทละครที่อาศัยอยู่ในเมืองบาสรา ประเทศอิรัก ในศตวรรษที่ 16 และกิจกรรมของพวกเขาในด้านพลังงานหมุนเวียนก็คล้ายคลึงกัน มัน กำลังเป็นอยู่ หรือพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องจากแหล่งพลังงานเช่นน้ำมันและถ่านหินหมดลงจึงกลายเป็นประเด็นร้อนในฐานะแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่
พลังงานทางเลือกนี้หมายถึงการใช้สิ่งต่างๆ รอบตัวเราเป็นพลังงาน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ก๊าซชีวภาพ การบำบัดของเสีย มูลปศุสัตว์ และน้ำเสีย แต่บางกลุ่มเริ่มโต้แย้งว่าพลังงานหมุนเวียนมีผลกระทบต่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทำให้พลังงานหาได้ง่าย และทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าของพลังงาน ใช้อย่างประหยัด
กล่าวกันว่าการต่อต้านพลังงานทดแทนมีความเชื่อมโยงกับทฤษฎีระเบียบโลกใหม่ของสมาคมลับ สมาชิกส่วนใหญ่กล่าวกันว่าเป็นนักการเมืองและนักการเงินในธุรกิจน้ำมันและก๊าซที่หมดความสนใจในแนวคิดนี้
ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (Bermuda Triangle)
คงเป็นที่รู้กันดีว่าสามเหลี่ยมปีศาจนี้ได้กลืนกินทุกอย่างที่ผ่านเข้าไปไม่ว่าจะเป็นเรือหรือเครื่องบิน ซึ่งสามเหลี่ยมนี้อยู่บริเวณจุด 3 จุด เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านไม่เท่า ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของมลรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ช่วงทศวรรษ 1950 เรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่และเครื่องบินรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หายไปอย่างไร้ร่องรอย นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่เกิดจากธรรมชาติ เช่น สภาพภูมิอากาศแปรปรวนฉับพลัน น้ำวนจากอุโมงค์ใต้ทะเล พายุทอร์นาโด หรือการแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งนี่เป็นคำอธิบายกระแสหลักและเป็นที่เชื่อถือกันอย่างแพร่หลาย แต่ก็มีชุดคำอธิบายโต้แย้งจากบรรดานักทฤษฎีสมคบคิดว่า มีสิ่งมีชีวิตนอกโลกอยู่เบื้องหลังการสูญหายของสิ่งต่างๆ ในสามเหลี่ยมปีศาจนี้
เคยเชื่อกันว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังในการจัดระเบียบโลกใหม่ คอยควบคุมระบบการเงินและอำนาจการปกครองของโลกนี้ เชื่อกันว่าอาจมีสมาคมลับที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เช่น กลุ่มบิลเดอร์เบิร์ก (ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1954) ลัทธิอิลลูมินาติ (ก่อตั้งขึ้นในเยอรมนี ราว ค.ศ. 1776) และ ลัทธิฟรีเมสัน (องค์กรลับของชาวยิว ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 37) เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง มีการโยงสัญลักษณ์มากมายเพื่อเชื่อมโยงถึงสมาคมลับเหล่านี้ เช่น สัญลักษณ์เมโซนิกของลัทธิฟรีเมสันตามตึกอาคารต่างๆ สัญลักษณ์เพนตาแกรม (ดาว 5 แฉก) ในนิวยอร์ก สัญลักษณ์ ออล-ซีอิ้ง-อาย (ตาที่สามบนยอดพีระมิด) ของอิลลูมินาติ ที่ปรากฏอยู่บนเหรียญเงินและธนบัตรอเมริกัน
กล่าวกันว่ามีนักธุรกิจ นักการเมือง และบรรดาผู้มีชื่อเสียงหลากหลายวงการเป็นสมาชิกของสมาคมลับเหล่านี้ เช่น จอร์จ วอชิงตัน, เฮนรี่ ฟอร์ด, บีโธเฟ่น เป็นสมาชิกของฟรีเมสัน เรื่องราวเหล่านี้ต่อมาถูกนำไปขยายความต่อและสร้างหลักฐานเพื่อสนับสนุนทฤษฎีโดยนักเขียนและผู้กำกับภาพยนตร์ ทฤษฎีการสมรู้ร่วมคิดของโลก